ศาลแพ่งยกคำร้อง iLaw ขอคุ้มครอง ระงับ พรก.ฉุกเฉิน

ศาลแพ่งยกคำร้อง iLaw ขอคุ้มครอง ระงับ พรก.ฉุกเฉิน

ศาลแพ่ง ประกาศยกคำร้องจากที่ iLaw ยื่นคำร้องขอ ระงับ พรก.ฉุกเฉิน ชี้สถานการณ์โควิดยังน่ากังวล มีความจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการ ศาลเเพ่ง ได้เผยแพร่เอกสารที่มีใจความระบุว่า “ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะว่าเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งมีคำสั่งให้รับคำฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 4639/2564 ที่นายยิ่งชีพอัชฌานนท์ กับพวกรวม 3 คนยื่นฟ้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 5 คนขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 15) ข้อ 3

และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงฉบับที่ 3ข้อ 2ข้อ 3 และข้อ 4 ,ฉบับที่ 5และฉบับที่ 11

และให้ไม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้น และขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้ง3 พร้อมรับคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ในกรณีฉุกเฉิน โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวและห้ามมิให้นำมาตรการคำสั่งหรือการกระทำใด ๆ ที่สั่งการตามประกาศดังกล่าวมาใช้กับโจทก์ทั้ง3 และประชาชนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดและศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 8 ต.ค.64 เวลา 13.30 น.

บัดนี้ศาลแพ่ง ได้ออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานแล้วมีคำสั่งอันสรุปใจความได้ว่า“ จำเลยที่ 1 ออกข้อกำหนดดังกล่าวห้ามมิให้มีการชุมนุมการทำกิจกรรมหรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยเพื่อป้องกันและระงับยับยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

โดยปัจจุบันยังพบการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ภายในประเทศอีกทั้งสถานการณ์ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจำเลยที่ 2 จึงออกประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบดังกล่าวมาบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขในการเว้นระยะห่างและการป้องกันการสัมผัสของบุคคลอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวในลักษณะกลุ่มก้อน (Cluster) ภายในประเทศกระจายไปในวงกว้างและสร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

แต่ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวยังพบว่ามียอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต โจทก์ทั้ง3จะอ้างว่าไม่มีหลักฐานใดชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวมาจากการชุมนุมสาธารณะการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมของบุคคลจำนวนมากย่อมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวได้ง่ายเจือสมกับที่โจทก์ที่ 2 เบิกความว่ารู้สึกกลัวการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าว

จึงต้องใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากอนามัยในการมาชุมนุมยิ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขในการเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวในลักษณะกลุ่มก้อน (Cluster) ภายในประเทศกระจายไปในวงกว้างแม้ แต่กรณีตามคำร้องของโจทก์ทั้ง 3 จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอและยังไม่มีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษายกคำร้องของโจทก์ทั้ง 3

ชูวิทย์ แจงเบื่อการเมืองหลังถูกถามหา คนจำไม่ได้ เพราะสั่งทีมงานห้ามบอกเป็นใคร

แจงเหตุหลังจากหลายคนบ่นอุบ ชูวิทย์ หายไปไหน เจ้าตัวแจงเพราะเบื่อการเมือง ขอหันไปดูแลสุขภาพ ระบุใครจำไม่ได้ไม่แปลก เพราะสั่งทีมงานแล้วห้ามบอกว่าเป็นใคร

วันที่ 8 ต.ค.2564 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่หายไปจากหน้าสื่อ โดยโพสต์แจงผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองว่า “ชูวิทย์หายหัวไปไหน ทำไมไม่ออกมาพูดเรื่องการเมือง มีคนฝากถาม ผมขอชี้แจงแถลงไข เบื่อการเมืองเรื่องกิเลสตัณหาเต็มทน หวังแต่อำนาจบารมี สรรเสริญเยินยอ ซอมบี้เดินล้อมหน้าล้อมหลัง อย่างที่โบราณเขาบอกไว้เป๊ะ “นายว่า ขี้ข้าพลอย”

ชูวิทย์ ยังเผยอีกว่า “รัฐธรรมนูญก็คิดแค่จะแก้เพื่อคงอำนาจไว้เท่านั้น หวังให้ได้ตำแหน่งเก้าอี้ในสภาไว้เพื่อรวมไปตั้งรัฐบาล ประดับไว้บูชาให้ชาวบ้านยกมือไหว้ และแดกงบภาษีไปซื้อเบจภาคีคล้องคอ สมองคิดได้แต่ด้าน “เน็กกาทีฟ” ว่าจะทำลายคู่แข่งทางการเมืองยังไง หาได้มีเรื่อง “โพสิทีฟ” คิดบวกไม่เป็น เพราะตกเลขแต่เด็ก ถึงทำประโยชน์ให้บ้านเมืองอย่างยั่งยืนไม่ได้สักที”

“ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบหน้าฝน น้ำท่วมทีก็เดินสายทำเท่ห์ อวดศักดา แจกถุงยังชีพ พอหน้าหนาวก็แจกผ้าห่ม พอหน้าแล้งก็ฝอยเรื่องผันน้ำให้ชาวนา หลอกไปวัน ๆ ให้ผ่านๆ ไป ทั้งที่จริง ประเทศไทยทุ่มเงินงบประมาณมหาศาลไปกับ “บูรณาการทางน้ำ” เป็นหลายแสนล้านตลอดระยะเวลา 30 ปี แต่มีหมารุมแดก จนท้ายสุดยังได้แต่ทำลีลา ลิงหลอกเจ้า จวบจนปี พ.ศ. 2564 หามีอะไรเปลี่ยนประเทศไทยเรื่อง “น้ำท่วม น้ำแล้ง” ได้”

นายชูวิทย์ ระบุอีกว่า จึงขอหันไปดูแลสุขภาพดีกว่าเป็นไหน ๆ วิ่งเช้า วิ่งเย็น เพราะอายุเพิ่งครบ 60 ปีบริบูรณ์ เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา วิ่งแล้วไม่ต้องคิดอะไร วิ่งไปเรื่อย ๆ วิ่งจนกว่าหัวใจจะบอกว่า “พอเถอะ มึงพอได้หรือยัง (วะ)” ใครจำผมไม่ได้ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะผมสั่งทีมงานของผมไว้เสมอว่า “อย่าบอกชาวบ้านนะโว้ย ว่ากูเป็นใคร” นายชูวิทย์ ทิ้งท้ายในโพสต์

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป